นักธุรกิจ100 ล้าน… ธุรกิจมูลค่า 100 ล้าน.. และการเป็นธุรกิจที่มีเงินในกระเป๋า 100 ล้าน… จริง ๆ แล้วความหมายต่างกัน!

นักธุรกิจ 100ล้าน ไม่ได้แปลว่ามีเงินในกระเป๋า 100 ล้าน
100 ล้านทั้ง 3 เรื่อง แต่ไม่เหมือนกัน

หลายคนชอบเข้าใจผิดว่าคำว่านักธุรกิจ 100 ล้านแปลว่าคนนั้นมีเงินส่วนตัวอยู่ 100 ล้าน แต่มันเป็นจำนวนเงินที่หมุนเวียนอยู่ในธุรกิจ เป็นเงินที่เกิดจากการบริหารจัดการมีเงินหมุนเวียนในธรกิจเป็น100 ล้าน หรือมียอดขายทะลุ 100 ล้านต่างหาก


แล้วธุรกิจที่มีมูลค่า100 ล้านบาทล่ะ คืออะไร
ธุรกิจจะมีคำอยู่คำหนึ่งคือ “มูลค่าธุรกิจ”

คำว่า “มูลค่า” แปลอีกอย่างหนึ่งก็คือคุณค่าที่คนอื่นมอบให้ ยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่ายๆ เช่น แหวนวงหนึ่งอาจมีราคาจริงเพียง 500 บาท แต่ถ้ามันถูกซื้อมาเพื่อเป็นแหวนแต่งงานที่คนรักมอบให้แก่กัน แหวนวงนั้นจะมีคุณค่าทางใจสูงมาก มากกว่า 500 บาทที่เป็นราคาแหวน


ธุรกิจก็เช่นกัน สมมุติว่าธุรกิจหนึ่งอาจมียอดขายอยู่ที่ 30 ล้านบาท แต่ถ้าสามาถสามารถบริหารงานได้ดีจริงๆ ทำให้คนอื่น (นักลงทุน,สถาบันทางการเงิน) เล็งเห็นถึงศักยภาพและโอกาสในการเติบโตต่อไปในอนาคต เขาสามารถให้มูลค่าของธุรกิจสูงถึง100 ล้านบาทได้

คำว่า “มูลค่าที่ใช้กำหนดราคาของธุรกิจ” จึงเป็นผลของการประเมินที่กำหนดในรูปของเงินตรา

ตัวเลขที่ยกตัวอย่างมานี้ไม่ใช่ตัวเลขที่สมมุติเกินตัว เพราะในวงการธุรกิจก็มีให้เห็นมากมาย เพราะเราจะเห็นการซื้อธุรกิจกันอยู่เป็นประจำ ทั้งหมดนี้ล้วนทำให้มูลค่าของธุรกิจเพิ่มขึ้นหลายสิบหลายร้อยเท่าตัว เช่น

– MK เข้าซื้อธุรกิจของแหลมเจริญด้วยเงินสูงถึง2,060 ล้านบาท แล้วได้หุ้นไป 65%
– Plan B เจ้าของธุรกิจป้ายโฆษณา Billboardเข้าซื้อกิจการบางส่วนของ BNK48
– VGI บริษัทมีเดีย แต่กลับมาซื้อธุรกิจโลจิสติกอย่าง KERRY เพราะเห็นโอกาสที่น่าสนใจบางอย่าง

===========

กลับมามองที่ธุรกิจของเราบ้าง… เห็นแบบนี้หลายคนคงเห็นโอกาสในการเติบโต เพราะถึงแม้วันนี้ธุรกิจของคุณอาจจะมีมูลค่ายังไม่ถึง100 ล้าน แต่ก็สามารถพัฒนาเพื่อให้ไปถึงจุดนั้นได้ โดย

1.บริหารให้มั่นคง ต้องทำให้ธุรกิจน่าจับตามอง เป็นดาวรุ่งของอุตสาหกรรมให้ได้ แล้วจะเป็นจุดเริ่มต้นให้มีนักลงทุน นายทุน หรือสถาบันการเงิน อยากจะเป็นส่วนร่วมกับบริษัทที่มีอนาคตได้ การทำธุรกิจให้มั่นคงโดยเฉลี่ยใช้เวลาอยู่ที่ 3ปี, 5ปี, 7ปี, 10ปี หรือถ้า SME ดำเนินธุรกิจมาได้ 3-5ปี ในสายตาของนักลงทุนก็ถือว่าน่าจับตามองแล้ว

2.ยอดขายมีการเติบโตที่เหมาะสม การทำธุรกิจนานๆอย่างเดียวไม่พอแต่ยอดขายต้องดีด้วย อย่างเช่นยอดขาย 50 – 100 ล้าน หรือเป็นตัวเลขที่ดูแล้วว่ามีความยั่งยืน

3.กำไรสุทธิ ดูยอดขายแล้วต่อไปก็ต้องดูว่าจากยอดขาย 50-100 ล้านต่อปีนั้น มีกำไรสุทธิเท่าไหร่ เสียภาษีเท่าไหร่ ถ้าธุรกิจทำกำไรได้ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยซึ่งอยู่ที่ (10-20%) แล้ว PE ของคุณสูงกว่าราคาตลาดในอุตสาหกรรมนั้น ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี

==========
* PE (P/E Ratio) คือ อัตราส่วนทางการเงิน ที่ใช้แสดงถึง อัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิ

เป็นอัตราส่วนที่เกิดจากการนำ … ราคาหุ้น(Price) มาเทียบกับ กำไร(Earning) … ยกตัวอย่างเช่น บริษัทมียอดขาย 100 ล้าน มีกำไรสุทธิ 10 ล้านบาท

ถ้าธุรกิจไม่ได้อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ การซื้อขายนอกตลาด PE ที่ได้สมมุตว่าเป็น10 เท่า นั่นหมายความว่า ราคาตลาด 10 เท่า คูณกับ 10 ล้านซึ่งเป็นกำไรสุทธิ

P/E Ratio จะได้10 x 10 = 100 ล้าน หรือก็คือธุรกิจมีมูลค่า 100 ล้านบาทนั่นเอง