เมื่อตลาดเริ่มไม่ต้องการ “พ่อค้าคนกลาง” แล้วคนที่เป็นตัวกลางในธุรกิจจะปรับตัวอย่างไร


ตั้งแต่ที่เทคโนโลยีเข้ามาส่วนดีที่ทำให้อะไรๆเจริญขึ้นนั้น ก็มี แต่ในอีกมุมหนึ่งก็ทำให้บทบาทของคนกลุ่มหนึ่ง ลดลงทุกวัน

“พ่อค้าคนกลาง” เป็นส่วนสำคัญของห่วงโซการค้ามาตั้งแต่ไหนแต่ไร ไม่ได้มีหน้าที่แค่นำสินค้าจากผู้ผลิตไปสู่มือลูกค้า

แต่บทบาทสำคัญของพ่อค้าคนกลางยังมีอิทธิพลต่อความคิดและการตัดสินใจของลูกค้าด้วย

เพราะด้วยความใกล้ชิดลูกค้ามากกว่าผู้ผลิต ทำให้รู้ว่าลูกค้าชอบซื้อของแบบไหน มีนิสัยการซื้อแบบไหน

เมื่อรู้ใจก็หาของที่ดีที่สุด ถูกที่สุดมาให้ได้อย่างถูกที่ ถูกเวลา ทำให้ลูกค้าบางคนเชื่อมั่นใน “คนกลาง” มากกว่า “แบรนด์” ซะอีก

แต่ ตั้งแต่ที่เทคโนโลยีเข้ามาก็ทำให้บทบาทคนกลางเปลี่ยนไป…

เทคโนโลยี ทำให้คนเริ่มเห็นว่า ถ้าไม่มีคนกลาง ยังไงก็ยังเปรียบเทียบราคาสินค้าได้ ต่อรองราคาออนไลน์ก็ได้

ถ้าไม่ซื้อสินค้าผ่านคนกลาง ยิ่งทำให้ได้ของที่ราคาถูกลงอีก (ถูกกว่าเดิมอีกต่างหาก)

แถมยังไม่ต้องเสี่ยงว่าจะโดนหลอกหรือโดนโก่งราคาเพราะซื้อจากโรงงานตรงได้เลย

พ่อค้าคนกลางยุคใหม่ จึงต้องปรับตัวคือ…

1. ไม่ใช่แค่ขายสินค้า ต้องขายเรื่องราวด้วย

ทำตัวเองให้เป็น “บล็อกเกอร์” หรือ “อินฟูเอ็นเซอร์” ไปด้วย รีวิวสินค้าและบอกถึงข้อดีข้อเสียแบบตรงไปตรงมาให้เหมือนเพื่อนคุยกับเพื่อน เช่น ร้านบิ๊กเต้ ที่นำโพสอิทไปแปะกับสินค้าต่างๆ พร้อมทั้งบอกคุณสมบัติแบบชัดเจน เป็นไอเดียดีๆที่ทำให้ลูกค้ายินดีรับฟังและหันมาซื้อ

2. ขยายการบริการหลังการขายกับสินค้าที่ต้องใช้ทักษะค่อนข้างสูง

เช่น สินค้าไอที สินค้าที่ต้องให้คำแนะนำ ต้องสอนวิธีการใช้งาน และทำตัวเองให้เชี่ยวชาญแบบเฉพาะทางจริงๆ

3. ทำตัวเองให้เป็นแบบผสม

คือเป็นพ่อค้าคนกลางด้วย แล้วก็รับเป็นผู้ผลิตสร้างแบรนด์ของตัวเองด้วย เช่น รับผลิตในลักษณะ ในลักษณะ ODM หรือOEM

สุดท้ายแล้ว ต้องคิดใหม่ว่า พ่อค้าคนกลาง ไม่ใช่เพียงคนขายของ แต่เป็นผู้ที่ทำตามความต้องการ และ สร้างความสะดวกสบายให้ลูกค้า ถ้าปรับแนวคิดแบบนี้ได้จะมองเห็นไอเดียการทำอีกมากมาย ทำธุรกิจคือการแข็งขัน ผู้ที่ปรับตัวเท่านั้นจึงจะอยู่รอด…


#แนวคิดธุรกิจ
#ไปให้ถึง100ล้าน