รุ่นพี่ใหญ่ (เจ้าของธุรกิจพันล้าน) มาแชร์ให้ฟัง “หลักความสำเร็จที่แท้จริง” ตั้งแต่เริ่มจนสำเร็จ

DISTRICT SRIWARA

ได้มีโอกาสมานั่งคุยจิบกาแฟคุยกับพี่วุฒิ (คุณ ณัฐวุฒิ์ มโนสุทธิ) นักธุรกิจพันล้านเจ้าของศูนย์เภสัชกรรมฟาร์แมกซ์ และมีบริษัทในเครืออีก 4 บริษัท ล่าสุดกำลังจะสร้างโรงพยาบาลศัลยกรรมที่ดีที่สุดในAEC รวมๆมูลค่าธุรกิจในเครือตอนนี้หลักพันล้านบาท

วันนี้พี่วุฒิ์ ยินดีสละเวลาเพื่อมาช่วยแชร์ประสบการณ์ให้ฟังกว่าจะมาถึงทุกวันนี้ไม่ง่ายแต่ก็ไม่ยากเกินไป.“SME คนไทยมีความคิดและความสามารถมากพอ แต่เราแค่ขาดหลักฐานที่จะมาช่วยย้ำว่าใครๆก็สามารถสร้างธุรกิจไปถึงธุรกิจหลักพันล้านได้”

  • ช่วงเริ่มต้น”ไอเดีย”ที่ใช้ในการสร้างธุรกิจเริ่มจากการ”มองเห็นปัญหา”
  • มอง”ปัญหา”ให้ดีๆ บางครั้งนั้นละคือ”โอกาสที่ดี”
  • ตอนเริ่มต้นทำธุรกิจ พร้อมหรือไม่พร้อม ยังไงก็มีความกลัวเกิดขึ้นเรื่องปกติ
  • ปัญหาที่หนักที่สุดคิดว่าเป็นคือเรื่องของ “คนทำงาน”
  • สถานที่ทำงานต้อง “ครีเอทีฟมากขึ้น” หมดยุคการทำงานแบบคอก

ช่วงเริ่มต้นบริษัทพี่วุฒิ์ได้เล่าให้ฟังว่า“ไอเดียที่ใช้ในการสร้างธุรกิจเริ่มได้จากมองเห็น“ปัญหา”

ปัญหาที่เห็นจนเกิดไอเดียนี้ขึ้นคือเมื่อตอนไปซื้อยาร้านขายยาสมัยก่อนมันไม่มีมาตรฐานเท่าไร บางครั้งก็เป็นยาเก่าใกล้หมดอายุก็มีซ้ำคนแนะนำยาก็เป็นอากง อาแป๊ะซึ่งบางคนก็มีความรู้ด้านนี้โดยเฉพาะแต่บางคนก็ไม่มีโอกาสจ่ายยาผิดมันก็สูงคนไข้ที่หวังให้หายจากโรคอาจจะเป็นหนักกว่าเก่าพี่เลยคิดว่ามันน่าจะมีร้านที่มีมาตรฐานกว่านี้ทั้งเรื่องการเก็บยาและความรู้ที่คนจ่ายยาควรจะมีและราคาต้องไม่แพงใครๆก็ซื้อได้ ตรงนี้เลยเป็นจุดตั้งต้นของกิจการที่ชื่อ”ศูนย์เภสัชกรรมฟาร์แมกซ์” พอพี่มองเห็นปัญหาตรงนี้แล้วนะ ปิ๊งไอเดียทันทีมีหลักให้ยึดรู้แล้วว่าอะไรคือ“จุดแข็ง” ของธุรกิจเรา

 “มองปัญหาให้ดีๆบางครั้งปัญหานั้นละคือโอกาสที่ดี“

“ร้านยาของพี่จะต้องมีที่เก็บยาที่ดี (ตอนหลังมารู้ว่าต้องมีการควบคุมอุณหภูมิ) และมีเภสัชประจำตลอดเวลาทำการ”พี่คิดได้แล้วก็เก็บในใจ คราวนี้พี่ก็วิ่งดูเลยทั้งตลาดต่างจังหวัดตลาดในกทม. “ทำธุรกิจไม่ใช่นั่งอยู่ห้องแอร์สบายๆให้ลูกน้องทำ ให้ลูกน้องไปหาข้อมูลมา แบบนี้มันไม่พอ เราต้องเข้าไปดู เข้าไปลงสนามเองจริงๆ เราจะมองเห็นอะไรอีกเยอะมาก”พี่ได้เข้าไปคุยกับเภสัชกรโรงพยาบาล ไปนั่งคุยกับเค้าจนสนิทกัน ลงไปคลุกคลีสนามจริง ตัวพี่เองเรียนจบนอกมานะ คนส่วนใหญ่จะคิดว่าพี่มีพร้อมทุกอย่างแล้วจะมานั่งลำบากทำอะไรใหม่ทำไม ต่อยอดจากของพ่อแม่ไปเลย แต่พี่ไม่คิดแบบนั้น พี่คิดว่า “ถ้าสิ่งที่เราทำมันช่วยให้คนหลายๆคนดีขึ้นจะต้องทำให้ได้” ตอนนั้นมันไม่ได้คิดถึงเรื่องผลกำไรอะไรเลยนะคิดแค่ว่า “มันช่วยหลายๆคนได้ สร้างมาตรฐานใหม่ของวงการร้านยา ให้คนเจ็บไข้ได้ป่วยเลยนะเราช่วยคนได้อีกหลายคนจะต้องทำให้ได้”แล้วพี่ก็ลุยเดี่ยวเลยทำแยกจากพ่อแม่ชัดเจนมาเริ่มของตัวเอง”

หลังจากวิ่งลงสนามจริงไปได้สักพักรวบรวมข้อมูลมามากพอแล้วพี่ก็รู้แล้วว่าเราจะต้องสต็อกยาเยอะมากตรงนี้เริ่มเป็นปัญหาละเพราะต้องใช้เงินเยอะและจุดตั้งหลักของเราเราต้องการมาตรฐานสูงในการเก็บยา  โดยทุนก้อนแรกที่ใช้เยอะมากต้องหาเองติดต่อเองหมดทุนก้อนแรกที่ได้มาใช้ทั้งเงินเก็บของตัวเองและต้องกู้ที่บ้านมาช่วยด้วย

“เริ่มต้นก็รู้สึกได้…มันมีความกลัวเกิดขึ้น”

พอเริ่มต้นมันก็รู้สึกได้เลยนะมันจะมีความกลัวเกิดขึ้นกลัวเจ๊งกลัวไม่รอดกลัวไม่มีลูกค้า   สิ่งที่เราทำนี้ใช้จากความคิดความเชื่อตัวเองล้วนๆไม่มีหลักอะไรเลยที่จะรับประกันได้ว่าธุรกิจนี้จะรอด แต่ไหนๆก็ไหนแล้วเราคิดมาดีแล้วต้องลุย! พี่ก็เริ่มลงมือทำทันทีเลยจากวันนั้นจนถึงวันนี้ผ่านมาประมาณ 9 ปีแล้วศูนย์เภสัชกรรมฟาร์แมกซ์ได้รักษามาตรฐานร้านยาคุณภาพโดยเภสัชกรมาโดยตลอด ซึ่งมีเภสัชกรให้บริการเต็มเวลาทำการและมีการควบคุมคุณภาพยา ทั้งอุณภูมิในการจัดเก็บยา และ ติดป้ายวันผลิตและวันหมดอายุอย่างชัดเจน

ดังนั้นจึงมั่นใจได้ว่ายาจากฟาร์แมกซ์เป็นยาคุณภาพมาตฐานเดียวกันกับผู้ผลิต และเป็นยาใหม่เสมอเนื่องจากเราไม่มีการสต๊อกยาเป็นเวลานาน เพราะเรามีระบบการการจัดที่ดีเยี่ยม และมียอดสั่งซื้อจากร้านยาอื่นๆ จึงทำให้เราสามารถจ่ายยาได้ในราคาไม่แพง จนมาถึงปัจจุบันศูนย์เภสัชกรรมฟาร์แมกซ์มีสาขาทั้งหมด 10 สาขา บนพื้นที่ขนาดใหญ่ ตั้งแต่ 100 ตร.ม – 200 ตร.ม.ตั้งอยู่ในย่านชุมชนและคอมมูนิตี้มอลล์ เดินทางสะดวก มีที่จอดรถ และเป็นร้านยาเพื่อสังคม เรียกได้ว่า“นึกถึงยา นึกถึงฟาร์แมกซ์” ซึ่งนับได้ว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี แต่ในระหว่างนั้นก็มีทั้งปัญหาทั่วๆไปที่ทุกธุรกิจต้องเจอ พี่วุฒิได้ค่อยๆฟันฝ่าและแก้ไขมาเรื่อยๆปัญหาที่พี่วุฒิบอกกับเราว่า ปัญหาที่คิดว่าหนักที่สุดแล้ว ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งมาจนถึงทุกวันนี้ ปัญหาที่ว่านั้นคือ “คนทำงาน”

“คนยุคนี้ไม่ชอบการทำงานแบบเป็นคอกๆเหมือนก่อนแล้วบรรยากาศสถานที่ในการทำงานต้องครีเอทีฟด้วย”

สถานที่การทำงานของคนในยุคนี้นอกจากจะต้องเดินทางง่ายแล้วบรรยากาศการทำงานต้องมีสภาพแวดล้อมที่ ครีเอทีฟด้วยพี่วุฒิ์ได้มองจุดนี้เป็นจุดสำคัญที่เจ้าของบริษัทต้องให้ความสำคัญเพราะเดี๋ยวนี้คนรุ่นใหม่ไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว “ใจเร็วความอดทนต่ำเปลี่ยนงานง่าย” การที่เจ้าของธุรกิจไม่ให้ความสำคัญกับจุดนี้เหมือนเป็นการทำร้ายบริษัทของตัวเองแบบทางอ้อมเพราะคนเก่งๆย่อมอยากอยู่ออฟฟิศที่ดีๆพนักงานมักชื่นชมและภูมิใจมากขึ้นถ้าเจ้าของบริษัทลงทุนทำออฟฟิศให้บรรยากาศการทำงานที่ดีขึ้น

ในอนาคตอันใกล้นี้พี่วุฒิ์อยากยกระดับให้ประเทศไทยเป็นจุดศูนย์กลางเรื่องความสวยความงามศัลยกรรมที่ดีที่ สุดของAEC เพื่อดึงดูดให้นักท่องเที่ยวชาวจีนและประเทศเพื่อนมาเข้ามาเที่ยวในประเทศไทยมากขึ้นโดยได้ร่วมมือกับ”โรงพยาบาลวอนจิน” โรงพยาบาลศัลยกรรมและความงามอันดับ1 จากเกาหลีมาเปิดบริการที่ไทย โดยในเฟสแรกได้ทำการเปิด Wonjin @Embassy เพื่อเป็นศูนย์ให้คำปรึกษาด้านศัลยกรรมและความงามที่ชั้น 4 เซ็นทรัลเอ็มบาสซี่ และในเฟสสองจะเปิดโรงพยาบาลศัลยกรรมและความงามในรูปแบบ Hospital Surgery Hub Center ในอนาคตอันใกล้นี้ “เกาหลีขึ้นชื่อเรื่องศัลยกรรม”ต่อไปคนไทยจะสบายมากขึ้นไม่ต้องเสียค่าเครื่องบินไปทำถึงที่นั้นสามารถทำที่บ้านเราได้เลยเอาเงินค่าเครื่องบินไปทำอะไรได้อีกหลายอย่าง” พี่วุฒิ์กล่าวปิดท้าย

“การทำธุรกิจที่ประสบความสำเร็จไม่ใช่การทำเพื่อตัวเองคุณต้องทำเพื่อคนอื่นยิ่งคุณทำเพื่อคนอื่นได้มากเท่าไรธุรกิจของคุณก็จะโตเร็วมากขึ้นเท่านั้น” ขอให้SMEไทยและผู้ที่อยากมีธุรกิจส่วนตัวของตัวเองอย่ายอมแพ้เรามีความสามารถมากพอและพี่วุฒิ์ – ณัฐวุฒิ์ นโนสุทธิได้ย้ำให้เราเห็นแล้วว่า

“คิดแล้วต้องกล้าลงมือทำSME ไทย ใครๆก็ไปถึงพันล้านได้”