นางสมหมาย ศิริอุดมเศรษฐ ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษีในฐานะโฆษกกรมสรรพากร เปิดเผยว่า ขณะนี้ กรมสรรพากรได้เร่งดำเนินการพิจารณาและอนุมัติคืนภาษี ตามแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภ.ง.ด.90 ภ.ง.ด.91 ประจำปีภาษี 2562 ไปแล้วรวมจำนวน 3,075,237 แบบ เป็นจำนวนเงินภาษีที่คืนให้แล้วรวม 33,145.82 ล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ 9 สิงหาคม 2563) เป็นการช่วยเสริมสภาพคล่องและเพิ่มเงินในกระเป๋าของประชาชน ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่ผ่านมา สำหรับผู้ชำระภาษีไว้เกินและได้รับภาษีคืนจากสรรพากรไปแล้ว พบว่าร้อยละ 90 เป็นผู้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีทางระบบอินเทอร์เน็ต มีการจัดการเอกสารและมีการผูกบัญชีธนาคารที่ขอคืนกับระบบพร้อมเพย์ด้วยเลขประชาชน ผู้ที่ยื่นขอคืนภาษีสามารถตรวจสอบและติดตามสถานะได้ด้วยตนเองที่ www.rd.go.th ทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง สำหรับผู้ที่มีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. 1161 หรือที่สำนักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ อ้างอิง : https://bit.ly/2PW7u7C ...
ธุรกิจต้องประคองตัว เมื่ออำนาจซื้อ “จีน” เปลี่ยนไป ถ้าจะกล่าวถึง “ผู้บริโภค” ที่ที่มีกำลังซื้อมากที่สุด คงหนีไม่พ้น ประชากรจีน เพราะแต่ละปีมีเศรษฐีเพิ่มขึ้นมหาศาล ชนชั้นกลางขยายตัวมากขึ้น นั้นหมายถึงอำนานจซื้อที่อยู่ในระดับสูงขึ้นตามไปด้วย หลายปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจโลกอยู่ในภาวะถดถอย การฟื้นตัวยังเป็นไปด้วยความยากลำบาก แต่หนึ่งในโอกาสที่หลายประเทศมองเห็นคือการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่าน “ภาคท่องเที่ยว” ดังนั้น ทำให้จี9นกลายเป็นตลาดที่ทุกชาติต้องการ เพราะนอกจากจีนจะมีประชากรหลายร้อยล้านคนแล้ว นักท่องเที่ยวจีนยังเต็มไปด้วยเม็ดเงินมหาศาล หลายอย่างเหมือนจะเป็นไปในทิศทางดี แต่เมื่อเข้าปี 2020 กลับพบข่าวร้ายที่ทุกประเทศต้องรับมือไปพร้อมๆ กัน เพราะข้าวร้ายที่ว่าส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจ การเมือง สังคมทั่วโลกเลยทีเดียว และหากมองถึงเหตุการณ์ที่กระทบด้านเศรษฐกิจ ณ ตอนนี้ หนีไม่พ้นสงครามการค้า ระหว่าง สหรัฐและประเทศจีน และสงครามครั้งนี้ กระถึงธุรกิจต่างๆ ของหลายประเทศแน่นอน เพราะไม่ว่ามาตรการกีดกันทางการค้า มาตรการภาษีที่สหรัฐและจีนนำมาใช้ ส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออก การค้าขายของประเทศไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด ความขัดแย้งของ 2 มหาอำนาจยังไม่ทันหาย โลกก็ต้องเผชิญกับโรคระบาด ที่สร้างความเสียหาายมหาศาลต่อชีวิตประชาชน พิษของโควิด-19 ยังทำให้ภาคการท่องเที่ยวหยุดนิ่ง ธุรกิจโรงแรม รีสอร์ท สายการบิน ไกด์นำเที่ยว ร้านอาหารต้องล้มกันไปตามกัน 20 ปีที่ผ่านมา การท่องเที่ยวเติบโตก้าวกระโดดมาก ขับเคลื่อนจีดีพีสัดส่วนสูงถึง 18% และนักท่องเที่ยวจีนมาไทยร่วม ...
ราคา “ทองคำ” ที่ขึ้นสูง จะได้ไปต่อหรือต้องระวัง ในขณะนี้เศรษฐกิจโลกกำลังอยู่ในภาวะที่น่าเป็นห่วง การอัดฉีดเงินของธนาคารกลางทั่วโลกยังไม่เห็นผลนัก ส่งผลให้สินทรัพย์เสี่ยงเริ่มผันผวน ทำให้สินทรัพย์อย่าง “ทองคำ” ราคาพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ปรากฏการณ์นี้กำลังบอกอะไรเราอยู่ และแนวโน้มจะเป็นอย่างไร ยังคงเป็นปัจจัยหลักที่จะมีผลต่อเศรษฐกิจของหลายๆ ประเทศทั่วโลก สำหรับการระบาดของโควิด-19 และการระบาดรอบ 2 ในหลายประเทศโดยเฉพาะสหรัฐ บราซิล และอินเดีย ทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจยิ่งล่าช้าออกไปอีก อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อด้านอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นสายการบิน การท่องเที่ยว แต่ประเด็นที่น่าจับตามองคือ การอัดฉีดเงินของธนาคารกลางทั่วโลกที่คาดว่าจะมีต่อเนื่องและยังไม่เห็นผลในเชิงบวกต่อระบบเศรษฐกิจมากหนัก แต่ที่เห็นได้ชัดคือสินทรัพย์อื่นๆ มีความเสี่ยงประชาชนวิ่งเข้าหาสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ จะเห็นได้ว่าราคาทองพุ่งสูงถึง 2,000 เหรียญฯ ในรอบหลายปี นั่นเป็นสัญญาณที่กำลังบอกอะไร…?? การปรับตัวของราคาทองคำสะท้อนถึงความไม่เชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจโลก รวมถึงข้อพิพาทเรื่องสงครามการค้าและความขัดแย้งทางการเมืองของสหรัฐฯและจีน ตลอดจนค่าเงินสกุลต่างๆ อ่อนค่าลง จากการอัดฉีดเงินจำนวนมากในช่วงที่ผ่านมา ทำให้นักลงทุนบางส่วนจึงเลือกลงทุนในทองคำที่มองว่ามีคุณค่าในการปกป้องความมั่งคั่ง (Preserve real value of wealth) ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตามองและจะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของทิศทางราคาทองคำ คือ การควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 และการวิจัยผลิตวัคซีนส่งผลให้ราคาทองคำเริ่มเปลี่ยนทิศทาง ดังนั้น ทองคำถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงที่เกิดปัญหาเศรษฐกิจจนทำให้สินทรัพย์ไม่น่าลงทุน แต่ความต้องการมีทองไว้ในครอบครองทำให้ราคาปรับตัวขึ้นไปมากจนอาจจะทำให้เกิดความเสี่ยงด้วยเช่นกัน ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังในการเข้าซื้อควรพิจารณาขายทำกำไร ส่วนระยะกลางถึงระยะยาวคาดว่าทองคำจะเป็นขาขีึ้นไปจนถึงปี 2021 โดยสรุปแล้วทองคำเป็นสินทรัพย์ลงทุนทางเลือกที่มีความเสี่ยงสูง นักลงทุนจึงต้องจัดสรรน้ำหนักการลงทุนทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยง อ้างอิง : https://bit.ly/33Ti9rY ...
1. มองตัวเองให้เป็นสินค้า ขยายมุมมอง “ ให้จับต้องได้ ” มองว่าตัวเองชอบอะไร หรือ ตัวเองมีทักษะอะไรบ้าง เขียนโดยแยกออกให้ชัดตาม 4 ประเภทดังนี้ สิ่งที่ชอบ – ชอบทำอะไร อยากทำอะไร มีสกิลเด่นๆในด้านไหน ฯลฯ ได้ทั้งหมด สิ่งที่รู้สึก – ชอบทำอันนี้แล้วมี รูป รส กลิ่น เสียง อะไรบ้าง รู้สึกยังไงบ้าง สิ่งแวดล้อมของสิ่งนั้น – ไล่ดูสิ่งของรอบๆ ทั้งหมดว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้เกิดสิ่งนี้ขึ้นมาได้ เราทำอะไรได้บ้าง – กลับมาดูที่ทรัพยากรของตัวเองว่ามีโอกาสทำได้ตอนนี้เลยบ้าง หลังจากแยกตามนี้แล้วจะทำให้มองเห็นโอกาส ทั้งสินค้าและสิ่งที่น่าจะทำเป็นธุรกิจได้มากขึ้น จากในตารางจะทำให้คิดแบบเป็นระบบ เลือกได้อย่างแน่ใจว่าจะลงมือทำในสิ่งไหนดี 2. การเติบโตรายได้มีสองแบบเติบโตแบบ “ขั้นบันได” และ การเติบโตแบบ “บันไดเลื่อน” การเติบโตแบบขั้นบันได- รายได้จะเติบโตแบบมั่นคงตามระยะเวลา หรือการทำให้ได้ตามกรอบที่ได้กำหนดวางไว้ รายได้จะเติบโตแบบช้าๆแต่มั่นคง เป็นไปตามแผนการเงินของโครงสร้างบริษัท เช่น การทำงานประจำ เติบโตตามประสบการณ์และตำแหน่งงาน การทำธุรกิจที่หลายๆ อย่างยังต้องทำเองเกือบจะทุกอย่าง (รายได้จะเติบโตตามการลงมือทำ หากหยุดรายได้ก็หยุด จึงนับว่ายังเป็นรายได้แบบขั้นบันใด) การเติบโตแบบบันไดเลื่อน- รายได้เติบโตได้เองโดยอัตโนมัติ ...
ลูกค้าไม่ใช่พระเจ้า แต่ลูกค้าต้องมาเป็นอันดับแรก เป็นหัวใจสำคัญโดยนำเอาความต้องการของลูกค้าเป็นตัวตั้งและสร้างความเชื่อมั่น ที่มีต่อแบรนด์ นำไปสู่ผลลัพธ์ว่าที่สุดแล้วธุรกิจจะฟื้นตัวได้หรือไม่ ผลสำรวจล่าสุดของ “Qualtrics” บริษัทที่มีความเชี่ยวชาญด้านการสร้างประสบการณ์ลูกค้า และเป็นผู้สร้างสรรค์เครื่องมือการบริหารประสบการณ์ลูกค้า หรือ Experience Management (XM) พบว่า นี่คือปัจจัยสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นต่อแบรนด์ในช่วง New normal และแนวทางที่ผู้บริโภคต้องการที่จะมีส่วนร่วมกับแบรนด์ โดยอินไซต์ดังกล่าว ช่วยให้แบรนด์สามารถวางแผนสร้างความไว้วางใจและความเชื่อมั่นต่อแบรนด์ ท่ามกลางสถานการณ์ความไม่แน่นอน ผลสำรวจพบว่า ผู้บริโภคในไทยกว่าร้อยละ 75 มองว่า แบรนด์จำเป็นต้องดูแลใส่ใจพนักงานและลูกค้าให้มากกว่ามาตรฐาน ดังนั้นจึงต้องตระหนักถึงแนวคิด “ลูกค้าต้องมาเป็นอันดับแรก” โดยผู้บริโภคร้อยละ 62 ชี้แบรนด์ไม่ควรแสวงหาผลประโยชน์จากวิกฤติ ขณะที่ร้อยละ 40 ระบุว่าแบรนด์ควรรักษาระดับราคาสินค้าและบริการให้มีความสมเหตุสมผล และร้อยละ 31 ต้องการให้แบรนด์ใส่ใจดูแลลูกค้า “ลิซ่า คาทรี” หัวหน้าฝ่ายบริหารประสบการณ์และวิจัยแบรนด์ ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น ของ Qualtrics กล่าวว่า “ความเชื่อมั่น” คือสิ่งสำคัญในช่วงการเปิดทำการอีกครั้งของธุรกิจ ท่ามกลางความไม่แน่นอน ระดับความเชื่อมั่นต่อแบรนด์ที่สูง คือสิ่งสะท้อนความมั่นใจของลูกค้าในการตัดสินใจซื้อสินค้าหรือใช้บริการของแบรนด์ งานวิจัยของ Qualtrics พบว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่ (ร้อยละ 87) มองว่าการตอบโต้ของแบรนด์ ในสภาวะวิกฤติมีผลอย่างยิ่งต่อระดับความเชื่อมั่นในแบรนด์ โดยมีเพียง ร้อยละ 2 ...
ในภาวะที่เศรษฐกิจไทยกำลังทรุดหนัก ทั้งภาครัฐต้องหาแนวทางลดผลกระทบให้กับคนต่างๆ ภายใต้เครื่องมือที่มีอยู่ ทั้งนโยบายการเงินและการคลัง จะนำพาธุรกิจไทยให้ผ่านขวากหนามไปได้อย่างไรให้เจ็บน้อยที่สุด แม้ว่าสถานการณ์โควิดในไทยจะคลี่คลาย หลายๆ อย่างกลับมาเป็นปกติ โดยไม่พบผู้ติดเชื้อภายในประเทศมานานกว่า 45 วัน แต่จากกว่า “ล็อกดาวน์” ประเทศมานานกว่า 3 เดือน สร้างความบอบช้ำต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมาก และยังคงเฝ้ารอการเปิดน่านฟ้าระหว่างประเทศ แต่สถานการณ์ภาคธุรกิจน้อยใหญ่เริ่มเปิดหน้าร้านขายของ โดยมีมาตรการเข้มงวด และยังคงเว้นระยะห่างทางสังคม ในระยะแรกของการคลายล็อกดาวน์จะเห็นได้ว่าการจับจ่ายใช้สอย รวมถึงการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศคึกคักมาก อย่างไรก็ตาม ภาวะเศรษฐกิจไทยที่ทรุดหนัก ในขณะที่ “ครึ่งปีหลัง” จากนี้ ต้องยอมรับว่าภาคธุรกิจ มนุษย์เงินเดือน แรงงาน ยังแทบมองไม่เห็นรายได้ที่เพิ่มขึ้นในอนาคต ทำได้อย่างดีก็แค่ “ประคองตัว” ไม่ให้ทรุดกว่าที่เป็นอยู่ หรือหากจะดีขึ้นก็ดีขึ้นไม่มาก เป็นผลจากโครงสร้างเศรษฐกิจไทยที่พึ่งพารายได้หลักจากต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นรายได้จากภาคส่งออก และการท่องเที่ยว รวมกันกว่า 70% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ขณะที่โควิดพ่นพิษไปทั่วโลก เมื่อเศรษฐกิจโลกได้รับผลกระทบหนัก เศรษฐกิจไทยจึงหนีไม่พ้นผลกระทบหนักเช่นกัน ดังนั้น จึงน่ากังวลว่า สถานการณ์ “กำลังซื้อ” หลังจากนี้จะเป็นอย่างไร ในเมื่อเงินในกระเป๋านอกจากจะไม่เพิ่มขึ้น ยังจะลดลงทุกวัน ทำให้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจจากกำลังซื้อในประเทศจึงจะไม่ใช่เรื่องง่าย เราเห็นว่าในสถานการณ์ที่ยากลำบากนี้ ภาครัฐจะต้องหาแนวทางลดผลกระทบให้กับผู้คน ภายใต้เครื่องมือที่มีอยู่ ทั้งนโยบายการเงิน และการคลัง พยุงภาคธุรกิจไทยผ่านขวากหนามให้บาดเจ็บน้อยที่สุด ...
Joselyne Umutoniwase อดีตบรรณาธิการภาพยนตร์ที่ตัดสินใจทิ้งงานที่เธอทำมาเป็นเวลา 5 ปี มาตามหาความฝันของเธอในการเป็น “แฟชั่นดีไซเนอร์” ที่สร้างคอลเลกชั่นครั้งแรกของเธอตอนที่เดินทางจากบ้านเกิดประเทศรวันดาไปยังประเทศเยอรมนีเพื่อรับทุนการศึกษาด้านภาพยนตร์ด้วยกระเป๋าเดินทางเพียง 2 ใบ หลังจากนั้นสิ่งที่เธอเริ่มทำคือ คอลเลกชั่นเสื้อผ้าที่เป็นลายกราฟิกแบบแอฟริกันซึ่งเป็นที่ชื่นชอบมากสำหรับเด็กหนุ่มสาวชาวเยอรมนี และเธอขายหมดภายในเวลา 3 เดือน ตัวเธอเองก็ไม่อยากเชื่อว่าเธอจะสร้างรายได้จากสิ่งที่เธอเรียกว่า “งานศิลปะ” และประสบการณ์ที่ประเทศเยอรมนีสร้างความมั่นใจในการเปลี่ยนสายงานของเธอ เธอตัดสินใจลาออกกลับมาที่ประเทศรวันดา จ้างช่างตัดเย็บเสื้อผ้ามา 2 คน ซื้ออุปกรณ์มือสองเพื่อที่ใช้ในการตัดเย็บเสื้อผ้า และก่อตั้งแบรนด์เสื้อผ้าของเธอเองที่ชื่อว่า Rwanda Clothing แรงบันดาลใจที่ทำให้เธอสร้างแบรนด์ Rwanda Clothing เพราะเธอต้องการสร้างสิ่งที่แตกต่าง แน่นอนว่าเสื้อผ้าที่ทำเองไม่ใช่ของใหม่ แต่การให้บริการสั่งทำพิเศษกับแนวคิดการออกแบบที่แปลกใหม่นั้นหายากมากสำหรับประเทศรวันดา เธอได้มีโอกาสไปดูงานที่ยุโรปหลายครั้ง ทำวิจัยและเยี่ยมชมร้านเล็กๆ ที่ทำเสื้อผ้าแบบเดียวกับที่เธอต้องการ หลังจากนั้นเธอจึงตัดสินใจเริ่มต้นธุรกิจเล็กๆ เพราะเธออยากเห็นมันค่อยๆ เติบโตไปพร้อมกับเธอ 8 ปีต่อมาเธอดำเนินธุรกิจ โดยมีช่างตัดเย็บเสื้อผ้า 37 คน แถมขายสินค้าตั้งแต่ 50 ดอลลาร์ขึ้นไป และสูงสุดที่ 120 ดอลลาร์ เธอเล่าว่าในช่วงไฮสคูลของเธอ ทั้งพ่อและลุงเป็นเจ้าของธุรกิจอยู่หลายอย่าง และนั้นเป็นแรงบันดาลใจให้กับเธอที่มีความฝันอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง และในคราวเดียวกันนั้นทำให้เธอหงุดหงิดเมื่อพ่อของเธอต้องปิดกิจการเพราะหุ้นส่วนธุรกิจของเขาหนีไปพร้อมกับเงินทั้งหมด จากนั้นเธอจึงมองว่า หุ้นส่วนในการทำธุรกิจนั้น เป็นอีก 1 เรื่องท้าทายในการทำธุรกิจ จนเธอได้พบกับนักกฎหมายและนักลงทุนที่ชื่อว่า Roman ...
ผลการวิจัยพบว่ายิ่งคุณเป็นคนหล่อก็ยิ่งเป็นอุปสรรคต่อการทำงาน ถ้าพูดถึงความสวยความหล่อนั้นก็เป็นสิ่งหนึ่งที่หลายคนอยากมีเพราะถ้าหน้าตาดีก็จะมีผลตามมาด้วยไม่ว่าจะเป็นโอกาสจากงานหรือแม้แต่ความรัก แต่การที่คุณหน้าตาดีนั้นถึงแม้มันจะส่งผลดีต่อบุคลิกภาพแต่ผลเสียก็ตามมาด้วยเพราะบางทีคุณอาจจะถูกคุกคามทางเพศหรือโดนรุกล้ำทางด้านสายตาได้ งานวิจัยของ University College London’s School of Management และUniversity of Maryland ในสหรัฐอเมริกา ได้ทำหัวข้อวิจัยเกี่ยวกับ เรื่อง หน้าตามีผลต่อโอกาสในหน้าที่การงานหรือไม่ ? และเผยแพร่รายงานนี้ออกมาเมื่อปี 2015 โดยนักวิจัยพบว่าผู้ที่มีหน้าตาหล่อนั้นจะมีการเติบโตในสายอาชีพหรือการเลื่อนตำแหน่งช้ากว่าคนหน้าตาธรรมดา นักวิจัยใช้คำเรียกคนพวกนี้ว่า ( F*cking Handsome) โดยทีมวิจัยได้แบ่งการวิจัยเป็น 4 สถานการณ์ใน 4 บริษัทที่แตกต่างกัน พบว่าในกลุ่มชายล้วนผู้ที่มีอำนาจในการตัดสินใจคัดเลือกพนักงาน หากผู้ที่เข้ามาสมัครงานผู้ชายมีหน้าตาที่หล่อ ยิ่งมีแนวโน้มว่าจะไม่รับเข้าทำงาน หรืออาจจะผลักไปอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ค่อยจะดีนัก เพราะเขาเหล่านั้นจะมองว่า คนหน้าตาดีจะทำงานได้ไหม จะตั้งใจทำงานหรือเปล่า รวมถึงยังรู้สึกว่าผู้ชายหล่อเป็นภัยได้ อาจทำให้สูญเสียความยิ่งใหญ่ของตนเองหรือเรียกว่า ไม่ชอบหน้าแบบไม่มีเหตุผล ซึ่งถ้าหากผู้สมัครเป็นผู้หญิงสัมภาษณ์งานกับ HR ผู้ชายก็จะมีโอกาสในการเข้าทำงานมากกว่า ศาสตราจารย์ Sun Young Lee หัวหน้าของโครงการวิจัยครั้งนี้กล่าวว่า การคัดเลือกพนักงานโดยใช้หน้าตานั้นทำให้เกิดความลำเอียงเพราะจะทำให้ไม่ได้ร่วมงานกับพนักงานที่มีความสามารถดีๆ ซึ่งที่เป็นแบบนี้เพราะเหล่าผู้บริหารส่วนมากต้องการที่จะควบคุมทุกอย่างให้ได้ 100% ร่วมถึงการรับพนักงานที่มีหน้าตาหล่อเข้ามาทำงานก็เช่นกัน เหล่าผู้บริหารจะคิดว่าคนหน้าตาดีควบคุมยาก ไม่ใช้การอคติแต่ถ้ามองลึกลงไปแล้ว คนที่มีหน้าตาที่ดีก็จะมีความมั่นใจและกล้าที่จะตัดสินใจ ซึ่งเหตุนี้ทำให้อาจจะเกิดการตัดสินใจขัดแย้งกับผู้บริหารระดับสูงได้ ในทางกลับกันนั้นผลวิจัยพบว่าปัญหานี้ไม่เกิดกับผู้หญิง เพราะผู้หญิงสวยจะชอบอยู่กับผู้หญิงสวยด้วยกันเอง ซึ่งไม่แปลกเลยที่งานวิจัยจะออกมาเป็นในแนวทางนี้เพราะการตัดสินใจของมนุษย์ว่าชอบหรือไม่ชอบนั้นมาจากรสนิยมส่วนตัวมากกว่าเรื่องเหตุผล และสิ่งเหล่าก็อาจจะนำมาสู่การตัดสินใจที่บิดเบือนได้ ...
เป็นเจ้าของกิจการนั้นมันเริ่มจาก ‘ความคิด’ ไม่ใช่ตำแหน่งหรือเงินตรา“Tim Denning” ได้เผยแนวคิดว่า กลยุทธ์เจ้าของกิจการหลักๆ คือ ทัศนคติ วิธีการมองโลก จินตนาการ และการสร้างอะไรใหม่ๆ ช่วงแรกยังไม่เกี่ยวกับเงิน แต่เงินคือ สิ่งที่ต่อยอดต่อมา การเป็นเจ้าของกิจการนั้นมันเริ่มจาก‘ความคิด’ ไม่ใช่ตำแหน่งหรือเงินตรา ถ้าค่อย ๆ บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความเป็นเจ้าของกิจการทีละนิด วันใดที่เปลี่ยนตำแหน่งจากพนักงานมาเป็นเจ้าของกิจการ จะได้ปรับตัวได้ง่าย และบริหารกิจการได้อย่างมีประสิทธิภาพปกติเวลาประชาสัมพันธ์หาคนมาทำงาน เรามักจะได้เห็นประโยค ‘ที่นี่ทำงานแบบพี่น้อง’ ก็เป็นเรื่องที่น่าคิดว่าเราแทบไม่เห็นที่ไหนโฆษณาชักชวนให้มาทำงานว่า ‘ที่นี่ทำงานแบบเจ้าของกิจการ’ ซึ่งจริง ๆ แล้วถ้าเราวิเคราะห์คุณสมบัติของ ‘เจ้าของกิจการ’ ออกมา เป็นข้อ ๆ เราจะพบว่าจริง ๆ แล้วนั้น การที่เราได้ทำงาน ไม่ว่าในความจริง เราจะอยู่ฐานะ ‘ผู้รับจ้าง’ หรือเรียกง่าย ๆ ตรงไปตรงมาว่า ‘ลูกน้อง’ เราก็สามารถปรับทัศนคติของตัวเองใหม่ด้วยการทำงานแบบ ‘เจ้าของกิจการ’ ได้เพราะจริง ๆ แล้วทุกอย่างมันอยู่ที่มุมมอง ถ้าในโลกแห่งความเป็นจริงเรายังไม่ไปถึงขั้นเจ้าของกิจการ เราก็ต้องมีความคิดแบบเจ้าของกิจการไว้ก่อน บทความเรื่อง ‘If you have a job, you’re already an ...
กรมสรรพากร เตือนคนที่มีรายได้แต่ยังไม่ได้ยื่นเสียภาษี สิ้นสุดขยายเวลาภายใน 31 ส.ค. 2563 นี้ นางสมหมาย ศิริอุดมเศรษฐ ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี (กลุ่มธุรกิจพลังงาน) ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 กรมสรรพากร ขอแจ้งให้ผู้มีรายได้ถึงเกณฑ์การยื่นแบบภาษีเงินได้ยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาผ่านทางอินเทอร์เน็ต และได้มีการขยายเวลาไปจนถึง 31 สิงหาคม 2563 จากข้อมูลปัจจุบันมีผู้ยื่นแบบภาษีในปี 62 ตั้งแต่ 1 ม.ค.-2 ส.ค. 63 มีผู้ยื่นแบบแล้วรวม 9.57 ล้านราย แต่มีอีกบางส่วนที่ยังไม่ได้ยื่นผู้เสียภาษีอีกประมาณกว่า 2 ล้านราย จึงขอให้ผู้ที่มีเงินได้ตามเกณฑ์ตามที่กฎหมายกำหนดยื่นแบบแสดงรายการภายในกำหนดเวลา โดยแนะนำให้ยื่นผ่านระบบเว็บไซต์กรมสรรพากร www.rd.go.th หรือจะยื่นผ่าน RD Smart Tax Application เฉพาะแบบ ภ.ง.ด. 91 (กรณีไม่นำเงินได้ของคู่สมรสมายื่นรวม) ก็จะช่วยประหยัดเวลาและได้รับภาษีเร็วขึ้น ผู้เสียภาษีสามารถตรวจสอบสิทธิลดหย่อนต่างๆ เช่น เงินบริจาค (e-Donation) เงินสมทบกองทุนประกันสังคม เงินสะสมเข้ากองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เบี้ยประกันสุขภาพ ได้ง่ายๆ ผ่านระบบ My Tax Account ...