ขายผงซักฟอกถ้าสะอาดขึ้น ใช้เงินวิจัยมากขึ้น ช่วยให้ยอดขายเพิ่มขึ้นหรือเปล่า? ว่ากันว่าผงซักฟอกไทด์ เป็นผงซักฟอกดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา ทุก ๆ ปีบริษัท พีแอนด์จีจะลงทุนหลายล้านดอลลาร์เพื่อให้ทีมนักเคมีชั้นนําคิดค้นสูตรผงซักฟอกที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อดันยอดขายให้สูงยิ่งขึ้นไปอีก คำถามคือ “วิธีนี้ได้ผลจริงหรือ?” ในช่วงแรกที่ไทด์ประสบความสําเร็จเป็นเพราะการผสมผสานที่ดีทั้ง ด้านสินค้า การโฆษณาทางโทรทัศน์ และช่องทางจัดจำหน่าย แต่เมื่อถึงคราวที่โฆษณาทางโทรทัศน์เข้าสู่ยุคแห่งความเปลี่ยนแปลง ผู้คนกลับไม่ได้เชื่อในการโฆษณาอีกต่อไปแล้ว ความสำคัญก็เริ่มลดลง ในทางกลับกันการเติบโตของร้านค้าอย่างวอลมาร์ท ทำให้ด้านช่องทางจัดจำหน่ายมีความสำคัญมากกว่าที่เคยเป็นมา 1ใน 3 จากยอดขายของไทด์ทั้งหมด มาจากร้านสาขาของวอลมาร์ททั้งสิ้น หากในวันนี้ไม่มีวอลมาร์ท ก็คงไม่มีไทด์อยู่เช่นกัน กลับมาที่คำถามเดิมว่า “การพัฒนาสูตรผงซักฟอกให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น จะช่วยดันยอดขายให้สูงขึ้น เป็นวิธีที่ได้ผลจริงหรือ?” คงต้องกลับมามองว่า ลูกค้าในปัจจุบันให้ความสำคัญกับเรื่องสูตรของผงซักฟอกมากน้อยเพียงใด แล้วบริษัทคุ้มค่าแค่ไหนกับการลงทุนมหาศาลเมื่อเทียบกับรายได้ที่ได้รับกลับมา ซึ่งจริงๆแล้วการปรับสูตรเพียงเล็กน้อย อาจจะไม่สามารถทำให้ผู้บริโภครู้ถึงความแตกต่างเลยด้วยซ้ำ แต่หากวิเคราะห์สถานการณ์ในปัจจุบันให้ดี การตัดงบพัฒนาสินค้าตัวเดิม และไปมุ่งเน้นวิจัยและพัฒนาสินค้าตัวใหม่ ให้มีความแปลก น่าสนใจ และแตกต่าง ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ยังมีโอกาสจะได้รับยอดขายมากกว่าเดิมซะอีก สุดท้ายนี้อยากให้ลองมองว่า อนาคตของสินค้าที่ทำอยู่จะเฉิดฉายหรือว่าเจอทางตัน เมื่อมองเห็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นแล้วจุดนี้เองจะเป็นจุดที่คุณควรเริ่มคิดอย่างจริงจังได้แล้วว่า แทนที่จะยึดติดแต่กับการพัฒนาสินค้าเดิมๆ ยอมทิ้งในส่วนนั้นไปก่อน แล้วนำเงินทุนมาใช้ในการสร้างโอกาสกับสินค้าใหม่ที่มีแนวโน้มเติบโตมากกว่า จะดีกว่าไหม? ...

ผลกีวี่ เราคงรู้จักกันดีแล้วในตอนนี้ แต่แหล่งกำเนิดมันนั้นต้องยกความสำเร็จให้กับ บริษัทเซสปรี ในประเทศนิวซีแลนด์ กี่วี่เริ่มต้นจากการเป็นผลไม้ธรรมดาๆ เหมือนสินค้าธรรมดาๆทั่วไปนั้นแหละ ผลไม้ธรรมดาๆที่ชื่อว่า “กูสเบอร์รี” ในประเทศนิวซีแลนด์ได้ถูก นำไปปั้นแต่งเรื่องราวใหม่หมดตั้งแต่เริ่มต้น และส่งมันไปทำการตลาดที่ทวีปอเมริกาเหนือเป็นที่แรก โดยเล็งเป้าไปที่ คนหนุ่มสาววัยทํางานที่มีรายได้สูง,เหล่านักชิมอาหารตัวยง รวมถึงวางขายในซุปเปอร์มาร์เกตระดับบน เพียงแค่นี้ก็เพียงพอในการนั่งรอดูมันขายจนหมดเกลี้ยง รู้จักกันในชื่อใหม่ว่า “ผลกีวี่” และยังไม่หยุดแค่นั้น บริษัทเซสปรีได้เล็งเห็นว่าในช่วงหลังตลาดมันก็เริ่มขาลงเหมือนสินค้าอื่นๆ พวกเค้าจึงได้ใส่เวทย์มนต์ลงไปอีกครั้งให้ผลกี่วี่โดยการเปลี่ยนมัน เป็นเนื้อเป็นสีเหลืองทองและกินได้ทั้งเปลือก! บริษัทเซสปรีเป็นเพียงบริษัทเดียวที่รู้วิธีปลูกกีวีสายพันธุ์ใหม่ พวกเขาพุ่งเป้าไปที่ตลาดกลุ่มนักชิมชาวลาติน เพราะผลกีวีสายพันธุ์ ใหม่นี้มีลักษณะคล้ายกับมะม่วงและมะละกอ แต่ขณะเดียวกันก็แตก ต่างมากพอที่จะโดดเด่นขึ้นมาได้ การเล็งเป้าหมายไปที่ร้านชําระดับ บนของชาวลาตินทําให้บริษัทเซสปรีได้พบกับกลุ่มผู้ซื้อที่มีสินค้าให้เลือก ไม่มาก ซึ่งมีทั้งเวลารวมถึงแนวโน้มที่จะลองสินค้าใหม่ ๆ และมีความ พิเศษกว่าสินค้าที่มีในตลาด  บริษัทเซสปรีส่งเสริมการขายด้วยการให้ทดลองชิมสินค้าฟรีอย่างแข็งขันแล้วละก็ มีโอกาสสูงมากที่พวกเขาจะสามารถเจาะตลาดชุมชนชาวลาตินได้ และในที่สุดสินค้านี้ก็เดินทางไปถึงคนทุกกลุ่ม  ปีที่แล้วบริษัทเซสปรีขายผลกีวีสีเหลืองทองได้กําไรมากกว่า 100 ล้านดอลลาร์ อีกครั้งที่กีวีกลับมาทำกำไรอย่างยอดเยี่ยมได้  หากคุณกำลังทำบริษัทหรือธุรกิจอยู่ จงรู้ไว้ว่ายังไงสินค้าก็สำคัญเป็นอันดับต้นๆ รู้จักการแก้ไขปรับปรุงใส่แนวคิดใหม่ๆลงไปให้สินค้าคุณ แล้วคุณจะพบว่าสินค้าเดิมๆเนี่ยละ ก็สามารถทำกำไรได้เช่นกัน ...