ระหว่าง “เงิน” กับ “เวลา” ควรให้คุณค่ากับอะไรมากกว่ากัน บางคนให้คุณค่ากับเวลา บางคนก็ให้คุณค่ากับเงินก่อน เดี๋ยวก็ซื้อเวลามาได้เอง แต่หากคุณเป็นเจ้าของธุรกิจคำตอบที่ดีที่สุดนั้น ต้องไปดูควบคู่กับจังหวะเวลา ไปดูว่าคุณกำลังอยู่ในจังหวะไหน กำลังเริ่มต้น เติบโต หรือขยาย เพื่อเลือกได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ แบบนำมาสร้างเป็น “คุณค่าให้ได้ทั้งหมด” ในทางทรัพยากรของบริษัทนั้น ไม่ว่าจะเป็นเงินหรือเวลา ทุกอย่างล้วนมีคุณค่าที่ส่งผลลัพธ์ได้ ประเด็นที่สำคัญกว่านั้นจึงเป็นเรื่องของการใช้ให้ถูกจังหวะวัดกันที่ “คุณค่าที่ทำได้ในแต่ละวัน” เงินและเวลาเป็นเพียงทรัพยากรตั้งต้น ส่วนที่ทำให้สำเร็จได้คือ คุณค่าของสิ่งที่ทำจากทรัพยากรนี้
นาวีน เจน (Naveen Jain CEO) และผู้ก่อตั้ง Moon Express บริษัทสำรวจอวกาศ และ infoSpace บริษัทให้บริการอินเทอร์เน็ตที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกา ได้กล่าวไว้ว่า “สิ่งสำคัญของแนวทางในการทำธุรกิจของ Jain นับตั้งแต่วันแรก คือการช่วยเหลือผู้คนให้ได้มากที่สุด ความสำเร็จก็จะมาถึง เขากล่าวว่า ความสำเร็จไม่ได้วัดว่าคุณมีเงินในบัญชีเท่าไร แต่มันวัดว่าคุณมีชีวิตที่จะสร้างอิมแพ็คต่อมวลมนุษยชาติอย่างไรต่างหาก”
“คุณค่าในสิ่งที่ทำได้ในแต่วัน” สำคัญกว่าปริมาณของ“เงินหรือเวลา”
งานวิจัยของ World Economic Forum ได้ตั้งข้อสงสัยว่า วิถีชีวิตของ CEO ระดับหมื่นล้านนั้น แตกต่างจากคนทั่วไปยังไงบ้าง? สิ่งที่ได้ค้นพบคือ การนำผลลัพธ์ชีวิตในแต่ละวันมาเป็นตัววัดที่สำคัญว่า ได้ทำอะไรที่เกิดผลลัพธ์แบบ 1 to many ไปแล้วบ้าง ไม่ใช่แค่ 1 to 1 โดยในส่วนของชีวิตประจำวันของตัวเองนั้น ได้สร้างตัวเองให้เป็นจุดสร้างคุณค่าที่ดีที่สุด โดยมีการแบ่งแยกส่วนต่างๆ ชัดเจนทั้งในแง่ภายนอกและภายใน เช่น ผลการศึกษาในเรื่องของการดูแลตัวเอง CEO กว่า 32% นั้นมีคนดูแลเรื่องการกินอยู่ และ Wellness กว่า 32% นั้นมี Executive Coach ประจำตัวและอีก 22% มีนักบำบัดจิตวิทยา ฯลฯ
ซึ่งในทั้งหมดนี้ หากคิดเพียงแค่เรื่อง “เงิน และ เวลา” ทุกๆ วันก็คือการทำงานเพื่อเงิน และเอาเวลาให้งาน สุดท้ายก็จะเข้าสู่ปัญหาอาการของการติดวน หรือวงจรของการหมดไฟ เพราะทำงานหนักมากเกินไป ด้วยสูตรสำเร็จของเจ้าของธุรกิจที่ไม่มีสูตรตายตัวนั้น การแยกส่วนต่างๆ ได้แบบชัดเจนในตัวเอง และจัดการโดยพึ่งพาผู้เชี่ยวชาญในแต่ละด้านนั้น ย่อมมีประสิทธิภาพมากกว่าแน่นอน และคาดหวังผลได้ โดยเมื่อมามองถึงภาพใหญ่แล้วก็จะเข้าใจมากขึ้นว่าทำไม บริษัทที่จัดการแค่เงินนั้นโตช้า บริษัทจัดการเวลานั้นโตเร็ว สาเหตุเป็นเพราะ “ทุกอย่างล้วนเริ่มมาจากจังหวะเวลา”
บริษัทโตช้า จัดการแค่เงิน บริษัทโตเร็ว จัดการ “จังหวะเวลา”
“จังหวะเวลา” คือตัวการที่แท้จริง ไปได้เร็วหรือช้า เพราะลองย้อนดู บริษัทที่โตได้เร็ว จะมีจุดพลิกหรือจังหวะพลิกซัก 1-2 จุด ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และในทางกลับกันบริษัทที่ไปไม่รอดเพราะเจอจังหวะเปลี่ยนทิศ ตลาดเปลี่ยนทางนั้นเอง จนทำให้ทรัพยากรที่ใช้ค่อยๆ หมดลงจนไปต่อไม่ได้ และยังมีกรณีที่เป็นวลีดังแบบ ขายดีจนเจ๊ง คือการมีจังหวะล้น โอกาสเข้ามา แต่บริหารจัดการทรัพยากรได้ไม่ดีพอจากกระบวนการต่างๆ จนทำให้เกิดการล้มละลายในที่สุดเพราะส่งมอบผลลัพธ์ให้ลูกค้าไม่ได้
ทั้งหมดนี้หากเข้าใจ จังหวะเวลาแล้วนั้น ก็จะสามารถสร้างจังหวะจุดพลิกที่ได้ผล จนเกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นที่สุด บริษัทใหญ่ล้วนจะแบ่งทีมแยกย่อยให้ไปทำสิ่งต่างๆ แบบมีตัววัดของใครของมัน ทั้งหมดก็เพื่อสร้างจังหวะใหม่ของการพลิกธุรกิจ โดยมีเงินและเวลาคือ ทรัพยากรหลัก นี่คือวิธีคิดของโรงเรียนสอนธุรกิจที่จะทำให้มองเห็นภาพรวมได้ชัดขึ้นนั่นเอง หากคุณต้องการมองหาจังหวะพลิกธุรกิจที่ได้ทั้งเวลาเพิ่ม เงินเพิ่ม ลดการสูญเสียและได้ผลลัพธ์ที่ต้องการเพิ่ม คุณต้องมีรายงานที่อัปเดตแบบเรียลไทม์ ที่คอยติดตัวอยู่ในมือคุณตลอดเวลา เปิดดูเมื่อไรก็ได้ แบบ Krungthai Business
“ติดปีกให้ธุรกิจคุณ” ให้พุ่งทะยาน ด้วย “Krungthai Business”
วิถีของการทำธุรกิจที่ต้องบริหารทั้งงาน เวลาและเงินไปพร้อมๆ กัน บางขั้นตอนอาจต้องเจอกับกระบวนการที่ซับซ้อน ยุ่งยากจนน่าปวดหัว ซึ่งส่วนใหญ่นั้น “ตัวเลข” เป็นส่วนที่ทำให้ต้องเสียเวลาเป็นจำนวนมาก จากเวลาที่สามารถเอาไปสร้างเงินเพิ่มได้ กลับต้องมาเสียเวลาเพื่อดูแลเรื่องตัวเลขให้ถูกต้อง ด้วยความเข้าใจปัญหาแบบใส่ใจผู้ประกอบการ ธนาคารกรุงไทยจึงพร้อมติดปีกให้นักธุรกิจพุ่งทะยานไปกับ ‘Krungthai Business’ แอปพลิเคชันที่ตอบโจทย์เหล่าผู้ประกอบการในการจัดการทุกธุรกรรมการเงิน “ง่าย ครบ จบ ในแอปเดียว” และทุกตัวเลขมีความน่าเชื่อถือได้จริง
จุดเด่นของแอปพลิเคชัน Krungthai Business เปรียบเสมือนเป็นจุด One stop service แวะที่เดียวทำได้ครบวงจรธุรกรรมทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็นความง่ายในการโอนเงินหลายรายการพร้อมกันในครั้งเดียว ตั้งทำรายการล่วงหน้าได้ และยิ่งถ้าจ่ายเงินเดือนพนักงานผ่านบัญชีของกรุงไทย ก็จะได้รับประกันคุ้มครองชีวิตจากอุบัติเหตุให้พนักงาน จาก บมจ.ทิพยประกันภัย ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มใดๆ ทั้งสิ้น
นอกจากจะโอนเงินหลายรายการพร้อมกันได้แล้ว Krungthai Business ยังสามารถโอนเงินไปต่างประเทศได้มากถึง 16 สกุลเงินสำคัญ ตลอด 24 ชั่วโมง เท่านี้การทำธุรกิจก็ไม่ได้หยุดแค่ที่ไทย แต่สามารถขยายฐานการเติบโตไปได้ทั่วโลก
แถมยังตอบโจทย์ Cashless society ที่สามารถรับเงินและจ่ายเงินผ่านระบบ QR ที่ทำได้ไม่ยาก และสามารถดูสรุปรายการรับ-จ่ายได้ง่ายผ่าน Dashboard ดูความเคลื่อนไหวทางธุรกรรมการเงินได้ตลอด 24 ชั่วโมง ส่วนการขอ Statement ก็ทำได้ง่ายดายและสามารถดาวน์โหลดมาดูผ่านมือถือเพื่อความสะดวกอีกด้วย
Krungthai Business ยังให้ความสำคัญกับความปลอดภัยในการทำธุรกรรมต่างๆ ผ่านแต่ละช่องทางเพราะการจะเข้าใช้งานได้ต้องยืนยันผ่านระบบ OTP และ Token สำหรับระบบเว็บไซต์ และในมือถือต้องยืนยันตนด้วยการใส่ PIN สแกนใบหน้าหรือลายนิ้วมือ
ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนหรือใช้อุปกรณ์อะไรก็สามารถใช้งานได้ง่ายๆ ตลอด 7 วัน 24 ชั่วโมง
พิเศษสุดๆ สำหรับเจ้าของธุรกิจและลูกค้าธุรกิจที่สมัครใช้บริการก่อนวันที่ 31 ธันวาคม 2565 สามารถเหมาจ่ายค่าธรรมเนียม เพียงหลักร้อยบาทต่อปี โดยมีให้เลือก 2 แพ็คเกจคือ
1. แพ็คเกจ SME Smart Lite โอนรับจ่าย ฟรี ไม่อั้น เหมาจ่ายเพียง 111 บาทต่อปี
2. แพ็คเกจ SME Smart Solution ราคาเหมาจ่ายเพียง 555 บาทต่อปี
- ฟรีค่าธรรมเนียมจ่ายเงินเดือนพนักงานผ่านบัญชีกรุงไทย แถมประกันคุ้มครองชีวิตจากอุบัติเหตุสำหรับพนักงาน จาก บมจ.ทิพยประกันภัย
- ฟรีค่าธรรมเนียมและยกเว้นเงินขั้นต่ำในการเปิดบัญชีพนักงาน
- ฟรีค่าธรรมเนียมบัตรเดบิตเงินเดือนพนักงาน บัตร Travel Card สำหรับผู้บริหาร
- ฟรีค่าธรรมเนียมโอนเงินต่างธนาคารวันถัดไป (Smart Next Day)
- โอนเงินต่างประเทศด้วยค่าธรรมเนียมอัตราพิเศษ
- สิทธิพิเศษอีกมากมาย
ผู้ประกอบการที่พร้อมติดปีกพุ่งทะยาน สามารถสมัครใช้บริการได้ที่ ธนาคารกรุงไทยทุกสาขา
สำนักงานธุรกิจทั่วประเทศ
ลงทะเบียนขอใช้บริการได้ที่ https://krungthai.com/link/krungthaibusiness-100wealth
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร Krungthai Corporate Contact Center 02 111 9999
#กรุงไทยติดปีกให้ธุรกิจคุณ
#KrungthaiBusiness
#ง่ายครบจบในแอปเดียว
#100WEALTH #ไปให้ถึง100ล้าน #SERVgroup
————
ที่มาเพิ่มเติม :
https://www.entrepreneur.com/article/427493
https://www.inc.com/naveen-jain/how-entrepreneurs-become-visionary-leaders.html