เลเวลแรก “หาเงินให้เก่ง”เลเวลต่อมา “หาคนที่หาเงินเก่ง มาทำงานร่วมกัน”

คนที่ทำธุรกิจเก่ง ๆ ไม่ได้วัดกันที่ทรัพย์สิน รายได้ ยอดขาย หรือกำไรเพียงอย่างเดียว เพราะสิ่งที่จะบอกว่าสิ่งที่พวกเขาทำมันประสบความสำเร็จ คือความยั่งยืนและเติบโตไปพร้อมกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลง

Steve Arizpe ประธานและ COO ของ Insperity มองว่าการไม่ยอมก้าวออกจากเซฟโซนของตัวเอง ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก เพราะการเปลี่ยนแปลงมีความสำคัญต่อการดำรงอยู่และความสำเร็จ โดยธุรกิจที่ประสบความสำเร็จจริง ๆ มักเป็นผู้บุกเบิกเส้นทางสู่ดินแดนที่ไม่รู้จัก

ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาผลิตภัณฑ์/บริการ และโซลูชันที่เป็นนวัตกรรมใหม่เพื่อจัดการกับโอกาสหรือปัญหาของผู้บริโภค อาจเรียกได้ว่าเป็นทักษะหนึ่งที่สำคัญของผู้นำคือต้องมองเห็นช่องว่างในการทำตลาดของตัวเอง

ในความจริงแล้วการทำธุรกิจมักจะมีสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นก่อนเสมอ เพื่อให้ผู้ประกอบการได้เตรียมพร้อมที่จะปรับตัว และมองหาโอกาสใหม่ ๆ ที่จะสร้างการเติบโตของตัวเองได้ โดยสัญญาณทางการตลาดที่ว่านั้นคือ…

1. การเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจ

การติดตามภาวะเศรษฐกิจเป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินธุรกิจ เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย อัตราภาษี อุปสงค์/อุปทาน เป็นการกำหนดความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและในแง่มุมต่าง ๆ ทางธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นราคาสินค้าและค่าจ้างพนักงาน หรือแม้แต่งบประมาณที่ใช้ในการทำการตลาด

เมื่อผู้นำคำนึงถึงภาวะเศรษฐกิจเป็นอันดับแรก พวกเขาก็พร้อมที่จะตัดสินใจที่จะเพิ่มกำไรหรือลดการสูญเสีย

เช่น ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจดี การขยายการนำเสนอผลิตภัณฑ์/บริการ การเพิ่มราคา และการเพิ่มงบประมาณการโฆษณา/การตลาดสามารถช่วยเพิ่มรายได้

แต่ในช่วงที่เศรษฐกิจย่ำแย่ การให้ความสำคัญกับการควบคุมค่าใช้จ่าย ปรับปรุงกระบวนการทำงานให้คล่องตัว และการคว้าโอกาสที่พลาดไปสามารถช่วยให้บริษัทต่างๆ ฝ่าฟันพายุไปได้

ในธุรกิจที่มองเห็นคุณค่าของพนักงาน ผู้นำเหล่านั้นมักจะตระหนักดีว่าภาวะเศรษฐกิจส่งผลกระทบอย่างมากต่อคนทำงานของเขา ดังนั้นการดูแลพนักงานของพวกเขาซึ่งเป็นทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดของบริษัทจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก เพราะความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานและกำไร

2. การแข่งขันทางธุรกิจที่เพิ่มสูงขึ้นในตลาด

สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จากการทำธุรกิจคือ “คู่แข่ง” ยิ่งนานวันเข้าสินค้าหรือบริการที่ขายก็เริ่มคล้ายกันในทุกแบรนด์ วิธีการที่จะหลีกหนีจากความซ้ำซากของตลาดได้คือ สร้างความโดดเด่นทางการค้า ไม่ว่าจะเป็นออกสินค้าใหม่ ใช้การตลาดแบบแบรนด์แอมบาสเดอร์ จับมือกับพันธมิตรเพื่อสร้างกลยุทธ์ที่แข็งแกร่ง ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยงาน และทำให้ลูกค้ามีส่วนร่วมในแบรนด์

แน่นอนว่าการจะทำอะไรแบบนั้นต้องมีค่าใช้จ่ายที่สูง แล้วสำหรับแบรนด์ที่มีงบไม่เยอะจะทำยังไง?

ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าโซเชียลมีเดียก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่เข้าถึงลูกค้าได้ง่าย และใช้งบไม่เยอะ หรือการจัดกิจกรรม CSR เพื่อช่วยเหลือสังคมโดยมีจุดประสงค์คือการสร้างการรับรู้ของผู้คนและสร้างชื่อเสียงให้แบรนด์

3. ความผันผวนของตลาดแรงงาน

เมื่อก่อนคนทำงานหลายคนพยายามแย่งกันเพื่อเข้าทำงานในองค์กรใหญ่ ๆ แต่ปัจจุบันกลับเปลี่ยนไป เพราะองค์กรใหญ่กลับวิ่งเข้าหาพนักงานที่มีความสามารถแทน พวกเขาจะไม่นั่งรออยู่เฉย ๆ เพราะจำนวนคนที่น้อยลง แต่งานกลับต้องมากขึ้น ทำให้การแข่งขันที่จะแย่งตัวพนักงานที่โดดเด่นที่สุดจึงกลายเป็นสิ่งที่หลายองค์กรต้องปรับเปลี่ยนตัวเอง

แม้บางองค์กรจะมีพนักงานเก่ง ๆ ไว้ในมืออยู่แล้ว แต่หากพวกเขาไม่สามารถรักษาคนเหล่านั้นไว้ได้ พวกเขาก็อาจต้องเสียทรัพยากรที่มีค่าที่สุดไปก็ได้

วิธีที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งในการจัดการกับตลาดแรงงานคือการมีวัฒนธรรมที่ดีที่พนักงานต้องการเป็นส่วนหนึ่ง ส่งผลให้การรักษาพนักงานเพิ่มขึ้นและจำนวนผู้หางานเพิ่มขึ้น องค์กรต้องไม่มองว่าเขาเป็นผู้ใช้แรงงาน แต่ต้องมองเห็นความสำคัญว่าเขาคือฟันเฟืองชิ้นหนึ่งที่ทำให้ธุรกิจเติบโตไปได้

คนทำธุรกิจที่เก่ง ๆ มักจะมองข้ามการสร้างรายได้ในระยะสั้น แต่มองหาโอกาสที่ช่วยเพิ่มรายได้ในระยะยาว พวกเขารู้ดีว่าความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้จริง ๆ จำเป็นต้องใช้เวลา เพราะสุดท้ายแล้วเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์และอยู่เคียงข้างพวกเขาเอง


เขียนและเรียบเรียงโดย 100WEALTH
(Reference in comment)
———
100WEALTH
คอมมูนิตี้คนทำธุรกิจขนาดใหญ่
ที่มีเป้าหมายเดียวกัน “ไปให้ถึง100ล้าน

มาร่วมเติบโตปลดล็อก “พลังแห่งความสำเร็จ”
Unlock the Power of Success
กับผู้ร่วมเดินทางอีกกว่า 1 ล้านคนไปพร้อมๆ กัน

#Business
#100WEALTH
#ไปให้ถึง100ล้าน
#SERVgroup