เมื่อโลกหมุนไป เทรนด์การลงทุนก็หมุนตาม และเมื่อผู้ลงทุนมีความต้องการ บล.เคจีไอ ก็รีบขยับตาม เพื่อตอบรับความต้องการ และเปิดโอกาสให้กับผู้ลงทุนไทยได้ลงทุนในต่างประเทศ ผ่านผลิตภัณฑ์ DR หรือ Depositary Receipt เพื่อเสริมพอร์ตให้เข้าใกล้ 100 ล้านไปอีกขั้น
พูดถึงบริษัทหลักทรัพย์เคจีไอ เชื่อว่าผู้ลงทุนหลายคนน่าจะรู้จักผลิตภัณฑ์ DW13 ผลิตภัณฑ์ Derivative Warrant ที่มี Market Share อันดับ 1 ที่ 48% ในปี 2023 สะท้อนความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนทั้งต่อเทคโนโลยี ระบบคอมพิวเตอร์ และประสบการณ์ในตลาด DW ที่ถือเป็นผู้ออก DW รายแรกในประเทศไทย
สำหรับการออกผลิตภัณฑ์ DR ในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นทางเลือกในการเสริมความแข็งแกร่งให้กับพอร์ตลงทุนแล้ว ยังเปิดทางเลือกให้ผู้ลงทุนได้เลือกลงทุนในหุ้นหรือกองทุน ETF ต่างประเทศที่สนใจได้ง่าย ๆ โดยซื้อขายผ่านกระดาน SET แต่ยังคงสิทธิประโยชน์คล้าย ๆ กับการซื้อหุ้นหรือกองทุน ETF นั้น ๆ โดยตรง
ยังไงแล้วก่อนลงทุน อย่าลืมศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน ทั้งหุ้น หรือ กองทุน ETF ที่อ้างอิงในต่างประเทศ ศึกษาแนวโน้ม โอกาส การเปลี่ยนแปลงของค่าเงิน รวมไปถึงสภาพคล่องของผู้ออก DR ให้ดีก่อนการลงทุน เพื่อให้ไม่เสียทุกโอกาส และจังหวะในการทำกำไร
โดยทาง บล.เคจีไอ ออก DR มาพร้อมกันถึง 3 หลักทรัพย์ให้ผู้ลงทุนได้เทรดกัน ได้แก่ JAPAN13″ – “HK13” – “HKTECH13” อ้างอิงกองทุน ETF ที่ลงทุนในหุ้นชั้นนำขนาดใหญ่ของ ญี่ปุ่น-จีน-ฮ่องกง โดยทั้ง 3 DR นี้มีแนวโน้มการเติบโตที่แตกต่างกันไป และให้โอกาสทำกำไรตามมุมมอง และจังหวะการลงทุนได้อีกด้วย
นายเจนวิทย์ ชินกุลกิจนิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการฝ่ายธุรกิจตราสารอนุพันธ์ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า บริษัทออก “Depositary Receipt” หรือ “DR” มาพร้อมกันถึง 3 หลักทรัพย์ เพื่อเป็นการเสริมทัพผลิตภัณฑ์ DW และเพิ่มทางเลือกการลงทุนในต่างประเทศให้กับนักลงทุนไทย เนื่องจากการเปลี่ยนแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยสหรัฐอเมริกาจากที่เป็นขาขึ้นในปี 2023 เป็นแนวโน้มคงที่หรือปรับตัวลง ทำให้มีโอกาสที่จะมีการเคลื่อนไหวของเงินลงทุนทั่วโลกไปในตลาดหุ้นขนาดใหญ่มากขึ้น
และในปี 2023 ที่ผ่านมาเราเห็นดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกเคลื่อนตัวแยกกันอย่างชัดเจน ได้แก่ ดัชนี Nikkei225 +30% ขณะที่ดัชนี Hang Seng Index -18% , ดัชนี Hang Seng TECH Index ลง -15% ดังนั้นความต้องการการลงทุนของนักลงทุนในปีนี้จึงแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกเป็นกลุ่มที่ยังสนใจตลาดหุ้นที่ร้อนแรงในปี 2023 คือตลาดหุ้นญี่ปุ่น กับอีกกลุ่มที่สนใจลงทุนในตลาดหุ้นที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจจีนหลังราคาหุ้นปรับลงมาแรงต่อเนื่อง 3 ปี จึงเป็นที่มาของการเลือกออก DR ทั้ง 3 ตัวได้แก่ JAPAN13, HK13 และ HKTECH13 ที่ลงทุนในกองทุน ETF ตลาดหุ้นญี่ปุ่น และตลาดหุ้นฮ่องกง การรุกธุรกิจ DR ที่อ้างอิงกับเศรษฐกิจฮ่องกงและจีน และตลาดหุ้นญี่ปุ่น ควบคู่ไปกับการออก DW ในประเทศไทย จึงเป็นกลยุทธ์หลักในปีนี้
“DR” เป็นตราสารการเงินที่เป็นตัวกลางการลงทุนให้นักลงทุนสามารถลงทุนในต่างประเทศได้ผ่านการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) จากที่ปกติการลงทุนในต่างประเทศโดยตรงจะทำได้ยาก ต้องเปิดบัญชีหุ้นที่ต่างประเทศ และต้องเสียภาษีบนกำไรที่นำกลับเข้ามาด้วย ทั้งนี้ DR มีราคา Bid-Offer ที่อ้างอิงกับราคาหุ้นต่างประเทศที่แปลงมาเป็นสกุลเงินไทยบาท นักลงทุนจึงใช้บัญชีซื้อขายหุ้นปกติลงทุนใน DR ได้เลย โดย DR ไม่มีวันหมดอายุ จึงเหมาะกับการลงทุนระยะยาว แตกต่างจาก DW ที่มีอายุจำกัด และอัตราทดสูง จึงเหมาะกับการเก็งกำไรในระยะสั้นมากกว่า
สำหรับ “DR” ทั้งสามตัวที่ออกมาล่าสุดประกอบด้วย
1. “JAPAN13” ลงทุนในกองทุน ETF ChinaAMC MSCI Japan Hedged to USD ETF (3160 HK) โดยมีการลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ที่ญี่ปุ่นมากกว่า 200 ตัว เช่น TOYOTA, SONY Group และ Mitsubishi UFJ Financial Group เป็นต้น โดยในปี 2023 ราคากองทุน ETF นี้ปรับตัวขึ้นถึง 32.7% และมีค่ามูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การจัดการสูงถึงกว่า 1.1 หมื่นล้านบาท
2. “HK13” ลงทุนในกองทุน ETF Tracker Fund of Hong Kong (2800 HK) จะมีราคาเคลื่อนไหวใกล้เคียงกับดัชนี Hang Seng ซึ่งเป็นดัชนีที่ครอบคลุมหุ้นประมาณ 80 บริษัทที่มีการทำธุรกิจในประเทศจีนและฮ่องกง เช่น HSBC Holding, TENCENT, AIA Group, ALIBABA และ CHINA Mobile เป็นต้น กองทุนมีสินทรัพย์ภายใต้การจัดการสูงถึงกว่า 5 แสนล้านบาท
3. “HKTECH13” ลงทุนในกองทุน Hang Seng TECH Index ETF (3032 HK) ที่มีนโยบายการลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องเทคโนโลยีขนาดใหญ่ และทำธุรกิจในประเทศจีนเป็นหลัก ครอบคลุมหุ้น 30 ตัว เช่น XIAOMI, TENCENT, NETEASE, ALIBABA และ SMIC เป็นต้น โดยกองทุนนี้มีสินทรัพย์ภายใต้การจัดการสูงถึงกว่า 1.1 หมื่นล้านบาท
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.thaiwarrant.com